ข้อมูลแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น
แหล่งการเรียนรู้
ด้านภูมิปัญญาชาวบ้านการสู่ขวัญ
ความรู้ด้านประเพณี
วัฒนธรรม ความเชื่อพื้นบ้าน
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อภูมิปัญญาท้องถิ่น พ่ออาจารย์ถา พรมคำ
อายุ 75 ปี วุฒิการศึกษาจบชั้น ป.4 อาชีพ -
สถานที่ตั้ง
อยู่บ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 3 ตำบลป่าแลวหลวง อำเภอสันติสุข
จังหวัดน่าน
55210 หมายเลขโทรศัพท์
-
วัน เวลา ที่ให้บริการ
ทุกวันตามที่ทางเจ้าภาพกำหนดจัดพิธี
โดยมีการหาฤกษ์ในการประกอบพิธีตามความเชื่อของชาวล้านนาโดยยึดเอาวันดีตามหนังสือปี๋ใหม่เมืองเป็นวันประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวล้านนา
ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม / รับบริการ
- ค่าตอบแทน ซึ่งก็แล้วแต่ศรัทธา
ผู้รับผิดชอบ พ่ออาจารย์ถา พรมคำ
ประวัติความเป็นมา
มีความรู้ความความสามารถพิเศษเกี่ยวกับ
หมอสู่ขวัญ
ขณะบวชเรียนได้ศึกษาถึงพระธรรมคำสอนตามหลักพระไตรปิฎก
ขณะเดียวกันก็ได้มีการเรียนเกี่ยวกับภาษาล้านนา (ตัวอักษรพื้นเมือง)ไปด้วย ซึ่งบวชได้เป็นเวลา 8 ปีก็ลาสิกขาออกมา หลังจากลาสิกขาออกมาก็ได้ไปศึกษาตำราเกี่ยวกับการสู่ขวัญ
พิธีกรรมต่างๆ
อย่างจริงจังเพื่อนำมาใช้ในการรักษาทางจิตและทางกายคนป่วยกับพ่ออาจารย์ท่านหนึ่ง
กิจกรรมที่ให้บริการ /ความรู้ /องค์ความรู้ /ความชำนาญ/สิ่งที่น่าศึกษาเรียนรู้
1.การสู่ขวัญ
2.การสะเดาะเคราะห์
3.การดูฤกษ์ สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ
4.การศึกษาอักษรล้านนา(ตั๋วเมือง)
5.การเป่าเพื่อรักษาโรค
ประเพณีสู่ขวัญ
สู่ขวัน หรือ “ สู่ขวัญ ”
หมายถึงพิธีเลี้ยงอาหารแก่ขวัญ ซึ่งการสู่ขวันของชาวล้านนา
คือพิธีกรรมที่ตรงกับการเรียกขวัญของคนในไทยภาคกลาง และมีข้อปลีกย่อยทีต่างกันไม่มากนัก
การสู่ขวันนี้อาจเรียกว่า “ สู่เข้าเอาขวัน เรียกขวัน ( อ่าน
“ เฮียกขวัน ”) หรือ ร้องขวัน ( อ่าน “
ฮ้อง ขวัน ” คือป้อนอาหารเพื่อเชิญขวัญให้คืนสู่ตนตัวของบุคคลซึ่งป่วยเรื้อรังมีเหตุเสียใจหรือหมดกำลังใจอย่างรุนแรง
หรือเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ใหม่
โดยกล่าวกันว่าขวัญของบุคคลดังกล่าวได้เตลิดไปจากตัวตน
จึงต้องทำพิธีเรียกและปลอบประโลมขวัญนั้นให้กลับคืนสู่บุคคลตามเดิม
เรื่องการสู่ขวัน
เป็นประเพณีที่นิยมปฏิบัติกันในล้านนาซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติที่ลงตัว
ในที่นี้ใคร่จะเชิญบทนิพนธ์ของพลตรีเจ้าราชบุตร ( วงษ์ตวัน ณ เชียงใหม่ )
ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ เจ้าหลวงเชียงใหม่ โดยเจ้าวงศ์สักก์ ณ
เชียงใหม่และคณะมาลงไว้ เพื่อให้เห็นขั้นตอนต่างๆ เต็มตามต้นฉบับดังนี้
การสู่ขวัญหรือสู่พระขวันหรือสู่พระขวัญเป็นประเพณีของชาวล้านนาไทยมาแต่โบราณกาล
ทางภาคกลางนิยมเรียกว่า การรับขวัญคนที่เดินทางไกลไปต่างถิ่นเป็นเวลานาน
บางทีก็ประสบความเหนื่อยยากในการเดินทาง มีความคิดถึงบ้าน
หรือต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจและเสียขวัญ
เมื่อกลับมาถึงบ้านเรืองของตนแล้ว ก็นิยมเอาธูปเทียน
ดอกไม้ไปบูชากราบไหว้พระสงฆ์และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ มีบิดามารดา เป็นต้น
เพื่อขอให้ท่านซึ่งมีวัยวุฒิเหล่านั้น
เรียกขวัญและปลอบอกปลอบใจให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวต่อไป
อย่าได้ไถลไปที่อื่น คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเวลานานหรือป่วยหนักจนกำลังลดถอยลง
มักจะขอให้พระหรือคนเฒ่าคนแก่ทำพิธีผูกมือเรียกขวัญ ในการนี้ท่านจะกล่าวถ้อยคำอันเป็นสิริมงคลเรียกขวัญแล้วอำนวยพรให้พ้นภัยพิบัติอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป
การกล่าวคำเรียกขวัญนี้
บางทีท่านก็กล่าวเป็นคำประพันธ์และอาจเป็นทำนองที่มีไพเราะด้วย
การเรียกขวัญหรือสู่ขวัญเช่นนี้ได้ทำกันแพร่หลายภายหลังได้ขยายการทำดอกไม้บูชาเป็นพุ่มงดงามเรียกว่าบายศรีประกอบด้วยเครื่องเซ่นไหว้เพิ่มเติมขึ้นอีก
โดยเฉพาะในการต้องรับคนต่างถิ่นหรือผู้มีเกียรติที่มาเยี่ยมเยือน
ถ้าเป็นงานต้อนรับขนาดใหญ่มากนักจะมีขบวนแห่ด้วยประวัติการทำบายศรีทูลพระขวัญและสู่ขวัญของจังหวัดเชียงใหม่นั้นได้ทำกันมานานแล้ว
เท่าที่พอจะหาหลักฐานได้นั้น มีมาแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ข้าราชการผู้ใหญ่ที่เดินทางมาราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ในสมัยนั้น
ตามพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังเคยได้บันทึกไว้ว่า “ เฉพาะแต่การต้อนรับสู่ขวัญและพาชมเมืองก็หมดวันเสียแล้ว ” ในระยะต่อมาพิธีทูลพระขวัญที่ควรจะได้กล่าวถึง
และเป็นประวัติการของจังหวัดเชียงใหม่
คือพิธีทูลพระขวัญถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
ในพระราชวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๙
การสู่ขวัญ มีด้วยกัน 7 ประเภท คือ
1. สู่ขวัญคนเฒ่าคนแก่ 2. สู่ขวัญคนที่ป่วยไข้ 3. สู่ขวัญคนเพื่อให้เป็นสิริมงคล 4.
สู่ขวัญนาค 5. สู่ขวัญคู่บ่าวสาวในโอกาสแต่ง -งานใหม่ 6. สู่ขวัญข้าวใหม่ 7.
สู่ขวัญวัว,ควาย ฯลฯ การทำพิธีสู่ขวัญคนเฒ่าคนแก่ ที่เคารพนับถือ
เพื่อเป็นมงคล นิยมจัดหลังเทศกาลสงกรานต์
โดยเฉพาะในวันพญาวัน วันปีใหม่เมือง (15 เมษายน)
การทำพิธีสู่ขวัญให้คนที่อยู่ไม่สบาย
หรือเจ็บป่วยต่าง ๆ เพื่อทำให้ผู้ที่ป่วยมีขวัญและ กำลังใจสามารถต่อต้านโรคต่าง ๆ
ได้
การทำพิธีสู่ขวัญให้คนธรรมดา
คือจัดให้คนที่เดินทางไปทำงานยังต่างจังหวัด แล้วกลับมาอยู่บ้าน
หรือกำลังจะเดินทางไปทำงานหาเงิน หรือบุคคลที่ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน
เพื่อเป็นกำลังใจ
ต่อไป
ถือเป็นสิ่งมงคลในชีวิตอีกวิธีการหนึ่งด้วย
การทำพิธีสู่ขวัญนาค คือ
สู่ให้ลูกหลานที่จะเข้าไปศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ทางภาษาล้านนา และศึกษาทางโลก
แล้วเข้าทำพิธีบรรพชา อุปสมบท ก่อนที่จะเข้าพิธีทางพระสงฆ์ ภาคเหนือนิยมกัน
โกนหัว นุ่งห่มสีขาว ถือว่าเป็นนาค
แล้วต้องมีพิธีการสู่ขวัญ ก่อนพิธีบรรพชา – อุปสมบท ได้ถือสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล
การทำพิธีสู่ขวัญให้แก่คู่บ่าว
– สาว ก่อนที่จะเข้าสู่พิธีแต่งงาน เพราะนิยมสืบ ๆ กันมา
คือคู่บ่าวสาวที่มีความรักใคร่ชอบพอกัน ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือที่เคารพนับถือ
ทั้งสองฝ่าย เห็นพร้อมต้องตามแล้ว ทางคู่บ่าว สาว
จะพากันไปจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย เสร็จแล้วฝ่ายพ่อแม่พี่น้องทั้งสองฝ่าย
จะหาฤกษ์งามยามดี ได้วันดีแล้ว เมื่อถึงวันกำหนด
จะมีการกระทำพิธีสู่ขวัญให้ตามประเพณี
เพื่อให้เป็นมงคลแก่คู่บ่าว – สาว
การสู่ขวัญข้าว
มี 3 ขั้นตอน เอาแต่จะสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติ บ้างจะสู่ตอนพิธีแฮกนาปลูกข้าว หรือตอน
ตีข้าว หรือนวดข้าว
และตอนนำข้าวมาสู่ยุ้งฉางเสร็จแล้ว ตามแต่จะสะดวก ของเจ้าของข้าว
การสู่ขวัญวัว
– ควาย มักนิยมสู่ขวัญ หลังจากเสร็จจากการทำนา
จะทำพิธีสู่ขวัญให้แก่ควายที่ใช้
ไถนา หรือสู่ขวัญวัว ที่ใช้เทียมเกียวน
เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ได้ใช้แรงของสัตว์เลี้ยง
ประเพณีตานธรรมมหาวิบาก - ตานธรรมพระพิมลแก้ว ตานกั๋ม ตานข้าวสังค์ดิบ สวดข้าวพระเมืองแก้ว ฯลฯ
ประเพณีทั้ง 5 ประเภท นี้มักนิยมทำ
ให้แก่ผู้ป่วยเรื้อรัง หรือใกล้จะตายแต่ไม่ตาย ทนทุกข์ทรมานมานาน
จะมีการทำพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน 5 ประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อทำจัดทำพิธีกาลดังกล่าวแล้ว ถ้ากรรมตายมาถึงผู้นั้นก็จะตายไปในที่สุด
ถ้ากรรมตายยังมาไม่ถึง อาการต่าง ๆ ก็จะเริ่มดีวันดีคืนและหายไปในที่สุด
การสู่ขวัญบุคคลธรรมดา (คนป่วย)
- ประวัติความเป็นมา
ขณะที่ป่วยคนเราถือได้ว่าสภาพทางจิตใจนั้นแย่มากๆ
อีกทั้งสุขภาพร่างกายก็ดูทรุดโทรมตามไปด้วย
เนื่องจากว่ามีแต่ความวิตกกังวลว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร จะหายป่วยหรือไม่ จะหายเมื่อไหร่
ถ้าหายแล้วร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนเดิมไหม เป็นต้น
ซึ่งการวิตกกังวลเหล่านี้ก็เหมือนกับยิ่งทำให้จิตใจว้าวุ่นเพิ่มความเครียดให้กับตัวเองหนักเข้าไปอีก
ดังนั้นในอดีตจึงมีกุศโลบายในการรักษาคนป่วยโดยผ่านพิธีกรรมการสู่ขวัญซึ่งเป็นการเรียกขวัญคนป่วยให้กลับมาอยู่กับเจ้าของ
การปัดเคราะห์ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปัดเป่าเอาความชั่วร้ายสิ่งที่ไม่ดีออกไปให้พ้นจากร่างกาย
ถ้าหากว่าคนป่วยคนไหนที่ได้กระทำตามพิธีกรรมนี้แล้วก็จะหายป่วย
ร่างกายก็จะกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนเดิม
ซึ่งถ้าหากวิเคราะห์แล้วก็เป็นการรักษาทางด้านจิตใจนั่นเอง
คือ เป็นการเพิ่มกำลังใจให้คนป่วยรู้สึกดีขึ้น รู้สึกมีพลังในการต่อสู้
- วิธีดำเนินการ
มีขั้นตอนโดยการเตรียมเครื่องสู่ขวัญ
ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้ ขันเงิน/ข้าวต้ม/ขนม/เทียน/น้ำดื่ม/เสื้อผ้าผู้ป่วย/ไก่ต้ม/ดอกไม้/น้ำส้มป่อย/สุรา/กระจก/หวี/เครื่องประดับ/ด้ายมัดแขน/กล้วย/หมาก/พลู/บุหรี่/เมี้ยง เป็นต้น
หลังจากที่เตรียมอุปกรณ์เสร็จก็จะประกอบพิธีกรรมตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ปัดเคราะห์ให้คนป่วย
- เรียกขวัญ
- ป้อนข้าว
- ป้อนน้ำ
- สุรา
- มัดแขน * คำสู่ขวัญแต่ละพิธีกรรมก็จะแตกต่างกันออกไป
- ผลการดำเนินงาน/ผลรับ/ผลผลิต/ผลสำเร็จ
- ช่วยให้ชาวบ้านมีความเชื่อ
มีความศรัทธา เป็นที่น่ายอมรับ
- เป็นที่รู้จักของหมู่บ้านอื่น
- สามารถทำให้ผู้ป่วยนั้นมีความรู้สึกที่ดีขึ้น
มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ ทำให้ผู้ป่วยหายจากการป่วยได้เร็วขึ้น
การสู่ขวัญบุคคลผู้ใหญ่
- ประวัติความเป็นมา
เนื่องจากการสู่ขวัญบุคคลชั้นผู้ใหญ่นั้นไม่ได้เป็นการสู่ขวัญ
เพราะเกิดการเจ็บป่วยแต่อย่างใด
แต่เป็นการสู่ขวัญเพื่อเสริมสร้างอำนาจบารมีให้แข็งแกร่ง
ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินชีวิตทั้งด้านหน้าที่การงาน ครอบครัวให้เป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่มีอุปสรรคขัดขวางทั้งในปัจจุบันและอนาคต
และเพื่อส่งผลบุญให้บุคคลผู้นั้นประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆด้าน ต่อไป
- วิธีดำเนินการ
มีขั้นตอนโดยการเตรียมเครื่องสู่ขวัญ
ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้ เครื่องบายศรี/หัวหมู/ขันเงิน/ข้าวต้ม/ขนม/เทียน/น้ำดื่ม/เสื้อผ้าผู้ป่วย/ไก่ต้ม/ดอกไม้/น้ำส้มป่อย/สุรา/กระจก/หวี/เครื่องประดับ/ด้ายมัดแขน/กล้วย/หมาก/พลู/บุหรี่/เมี้ยง เป็นต้น
หลังจากที่เตรียมอุปกรณ์เสร็จก็จะประกอบพิธีกรรมตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ปัดเคราะห์
- เรียกขวัญ
- ป้อนข้าว
- ป้อนน้ำ
- ป้อนสุรา
- มัดแขน
* คำสู่ขวัญแต่ละพิธีกรรมก็จะแตกต่างกันออกไป
ตัวอย่างคำสู่ขวัญ
“เขาก็มาเย็บบายศรี
เวียนแวด(ล้อม)ใหญ่น้อย
ถอดถึงปลายประดับหยาย(เฉลี่ย)ตั้งมั่น
มีหลายจั้น(ชั้น)แกนดูงาม
เทียนตามและหางนาค ” เป็นต้น
การสู่ขวัญงานมงคลสมรส
- ประวัติความเป็นมา
การจัดงานแต่งงานให้คู่บ่าวสาวสำหรับประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณนั้นไม่ได้มีประเพณีที่เอิกเกริกเฮฮาเหมือนสมัยนี้เพียงแต่ตามประเพณีคือหาวันดีได้ก็เชิญผู้เฒ่าผู้แก่และญาติทั้ง
2 ฝ่ายเมื่อถึงวันกำหนดแล้วมารวมกันที่บ้านเจ้าสาว
มาพร้อมแล้วและเมื่อถึงเวลาฤกษ์
เฒ่าแก่ฝ่ายเจ้าสาวประมาณ 5 คน
ขึ้นไปถือขันดอกไม้เทียน ถือว่าเป็นการไปขอเจ้าบ่าวมาเข้าพิธีแต่งงานสู่ขวัญ เพื่อให้เป็นผัวเมียกันถูกต้องตามประเพณี
เป็นทางการและเป็นมงคลแก่คู่บ่าวสาวด้วย
เมื่อเฒ่าแก่ทำพิธีทุกอย่างเสร็จให้พรเสร็จแล้วการต้อนรับแขกด้วยอาหารก็ใช้ไก่ต้มที่เอาสู่ขวัญนั้นมาปรุงเป็นอาหารรับต้อนแขกก็เป็นที่เรียบร้อย ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
- วิธีดำเนินการ
การจัดงานแต่งงานสู่ขวัญให้คู่บ่าวสาว สมัยนี้เมื่อหาวันดีรู้แล้วว่าตรงกับวันไหน
วันที่เท่าไร
เมื่อรู้ดีแล้วฝ่ายเจ้าบ่าวก็จัดการพิมพ์การ์ด พิมพ์บัตรเชิญ
เชิญท่านผู้มีเกียรติ เชิญเพื่อนฝูง เมื่อใกล้วันแต่ง ก็เอาการ์ด เอาบัตรออกไปเชิญผู้ที่จะมาร่วมงาน
ส่วนญาติๆ และคนเฒ่าคนแก่ต้องมีคนหนุ่มฝ่ายเจ้าบ่าว 1 คน ฝ่ายเจ้าสาว 1 คนไปด้วยกัน
เมื่อเชิญครบแล้ว ใกล้ๆวันแต่งพี่ป้าน้าอาทั้งหลายก็จะไปบ้านเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าว
ไปช่วยกันแต่งขันบายศรี (ขันสู่ขวัญ-พาขวัญ) ทั้งบ้านเจ้าบ่าวเจ้าสาว
คนที่ยังหนุ่มรวมทั้งพ่อบ้าน เพื่อนฝูงก็ช่วยกันจัดเตรียมของใช้ เช่นถ้วย ช้อน
ขันน้ำ ขวดน้ำ เครื่องครัวทำอาหาร ทุกอย่างจนครบ เมื่อถึงวันแต่งงานมาแล้ว
บ้านเจ้าบ่าว
บ้านเจ้าสาวต่างคนก็ต่างเตรียมให้พร้อมได้เวลาแล้วญาติฝ่ายเจ้าสาวประมาณสัก 5
คนขึ้นไปเตรียมเอาขันดอกไม้ เทียนและของที่ระลึกไปบ้านเจ้าบ่าว เอาขันนั้นขอกับพ่อแม่เจ้าบ่าว
ขอเอาเจ้าบ่าวไปเป็นเขย ส่วนพ่อแม่เจ้าบ่าวก็อนุญาตตามประเพณี
เมื่อพร้อมแล้วหมู่เพื่อนฝูงของเจ้าบ่าว
ก็จัดขบวนเป็นหมู่พร้อมเพรียงกับแห่ขันหมากจากบ้านเจ้าบ่าวไป เมื่อไปถึงบ้านเจ้าสาวแล้วหยุดอยู่หน้าบ้านแล้วเจ้าสาวพร้อมเพื่อนก็ลงมาจากบ้านถือฝ้ายสีขาว
1 เส้น และสุรา 2 ขวด
มารับเอาเจ้าบ่าวถ้ามีการผ่านประตูเงินประตูทองก็ทำไปตามประเพณี
จากนั้นก็ขึ้นบ้านไปนั่งลงที่ขันพาขวัญตั้งอยู่ตรงกลางคนเฒ่าคนแก่ ญาติๆ
ก็ทำพิธีตามประเพณีเรื่อยไป จบแล้วก็มีการเลี้ยงรับแขกต่อไป
มีขั้นตอนโดยการเตรียมเครื่องสู่ขวัญ
ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้ บายศรี/ขันเงิน/ข้าวต้ม/ขนม/เทียน/น้ำดื่ม/เสื้อผ้าผู้ป่วย/ไก่ต้ม/ดอกไม้/น้ำส้มป่อย/สุรา/ด้ายมัดแขน/กล้วย/หมาก/พลู/บุหรี่/เมี้ยง เป็นต้น
หลังจากที่เตรียมอุปกรณ์เสร็จก็จะประกอบพิธีกรรมตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ปัดเคราะห์
- เรียกขวัญ
- ป้อนข้าว
- ป้อนน้ำ
- สุรา
- มัดแขน
* คำสู่ขวัญแต่ละพิธีกรรมก็จะแตกต่างกันออกไป
ตัวอย่างคำสู่ขวัญ
“พี่น้อง
2 เบื้อง(ฝ่าย) มาหลั่งล้อมอ้อมจรรจา
ตามกติกาแห่งเครือเจ้าตามกอง (เครือญาติฝ่ายผู้หญิง)ไป้(สะใภ้) กอง (เครือญาติฝ่ายชาย)เขย” เป็นต้น
การสู่ขวัญข้าว
- ประวัติความเป็นมา
เนื่องจากอดีตมีความเชื่อว่าถ้าหากมีการประกอบพิธีกรรมสู่ขวัญ/เรียกขวัญข้าวนั้นโดยการเลี้ยงด้วยไก่ต้ม เหล้า ยา ปลาปิ้ง
ขนมคาวหวานต่างๆ
หลังจากเสร็จสิ้นจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเพื่อเป็นการบูชาพระแม่โพสพที่ได้ทำให้ผลผลิตนั้นได้ออกมาในปริมาณที่เพียงพอต่อการใช้การบริโภค
รวมไปถึงเป็นการขอขมาที่ได้เหยียบย่ำขณะที่ทำการเก็บเกี่ยวข้าว
ซึ่งเมื่อถ้าหากในปีนี้เราได้ประกอบพิธีกรรมสู่ขวัญข้าวแล้วจะส่งผลให้เราได้ข้าวเยอะในปีต่อไปและยังคงจะทำให้กินข้าวไม่เปลืองอีกด้วย
- วิธีดำเนินการ
มีขั้นตอนโดยการเตรียมเครื่องสู่ขวัญ
ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้ หน่ออ้อย/หน่อกล้วย/ไหข้าว/หม้อนึ่ง/กล้วยหวี/อ้อยท่อน/ไม้เท้า/ไม้หนุน/ไม้ค้ำ/น้ำส้มป่อย/น้ำหอม/ดอกไม้/ผึ้ง/เทียน/ด้ายผูกยุ้งข้าว เป็นต้น
หลังจากเตรียมอุปกรณ์ครบก็เข้าสู่พิธีการเรียกขวัญข้าวที่อยู่ตามทุ่งนา
ป่า ที่ดอนต่างๆ ให้มาอยู่ในยุ้งข้าว ให้มากินข้าว กินปลา กินน้ำ กินเหล้า
อาหารสำรับต่างๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ เมื่อเรียกขวัญเสร็จก็ทำการสู่ขวัญต่อไป
โดยการตั้งนะโม 3 จบก่อน ต่อด้วยคำสูขวัญข้าว
เมื่อสู่ขวัญเสร็จก็ต้องมีการมัดยุ้งข้าว/กระติ๊บข้าว/หม้อนึ่ง/ไหข้าว หรือภาชนะที่ใช้บรรจุข้าวต่างๆ
ตัวอย่างคำสู่ขวัญข้าวขึ้นต้นด้วย “ สลีสัสดีวันนี้หากก็เป็นวันดีฯ...(เนื้อหาคำสู่ขวัญจะเกี่ยวกับการเรียกขวัญข้าว
แหล่งการเรียนรู้วัดอภัยคีรี
ด้าน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี
ความเชื่อข้อมูลพื้นฐาน
วัดอภัยคีรี บ้านอภัยคีรี เลขที่
57 หมู่ 2 ตำบลป่าแลวหลวง
อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน 55210
สถานที่ตั้ง
เลขที่ 57 หมู่ 2
ตำบลป่าแลวหลวง อำเภอ
สันติสุข จังหวัดน่าน 55210
วัน เวลา ที่ให้บริการ
- ทุกวัน หากต้องการทำพิธีกรรมต่างๆ
ให้
กำหนดวันตามฤกษ์ในการประกอบพิธีตามความเชื่อ
ของชาวล้านนาโดยยึดเอาวันดีตามหนังสือปี๋ใหม่เมืองเป็นวันประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวล้านนา
-
โรงเรียนพุทธศาสนาเปิดสอน ทุกวัน เวลา 17.00 น.- 18.00 น.
ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม / รับบริการ
-
ค่าใช้จ่ายตามจิตศรัทธาร่วมบริจาค
ผู้รับผิดชอบ พระทองคำ
ตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะตำบลป่าแลวหลวง
ประวัติความเป็นมา
ประวัติวัดอภัยคีรี ตั้งอยู่
เลขที่ 57 หมู่ 2
ตำบลป่าแลวหลวง อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
55210 สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2429 เดิม ชาวบ้านเรียก”วัดป่าแลวม่อน”ที่ใช้คำว่า”ม่อน” เพราะเป็นพื้นที่ภูเขาเตี้ยๆโล่งๆ
มองเห็นแต่พื้นดินทรายขาวไม่มีต้นไม้
ชาวบ้านเรียกว่าม่อนหรือแผ่นดินล้านประชาชนส่วนใหญ่แยกย้ายมาจากบ้านป่าแลวจึงมีภาษาพูดเป็นภาษา”ลื้อ” เหมือนกัน มีพระครูบาอินหวันเป็นเจ้าอาวาส
รูปแรก ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านไสยศาสตร์ คาถาอาคม แกร่งกล้า
องค์ความรู้/สิ่งที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้
1.ประเพณีการตานก๋วยสลาก/การแห่คัวตาน
2.ประเพณีเลี้ยงผีวัด
ผีบ้าน
3.ประเพณีการสืบชาตา รดน้ำ
สะเดาะเคราะห์
4.การจัดสถานที่ให้ถูกหลักพิธีกรรมทางศาสนา
5.โรงเรียนสอนพุทธศาสนาในตอนเย็น
6.ปิดทองรูปเหมือน ครูบาอินหวัน บูชาเหรียญ
- ประเพณีตานก๋วยสลาก – ออกพรรษาแล้ว
ตามที่พระท่านบรรยายให้ฟังว่าการถวายตานก๋วยสลาก เมื่อสมัยโบราณโน้น
เมื่ออกพรรษแล้ว เป็นต้นฤดูหนาว ผลไม้ต่างๆก็แก่สุกพอดี
หมู่ชาวบ้านชาวสวนทุกครอบครัวก็มีการนึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย
พี่ป้าน้าอา
ต่างคนก็ต่างเก็บเอาผลไม้ที่สุก แล้วเอาใส่ก๋วยหรือตะกร้ามารวมกันที่วัด
แล้วทำพิธีถวายแด่พระภิกษุสมาเณร เพื่ออุทิศส่วนบุญ
ส่วนกุศลไปหาผู้ที่ล่วงรับไปแล้ว มีมารดา
บิดา ปู่ย่า ตายาย พี่ป้าน้าอา เป็นต้น
เมื่อพระภิกษุสงฆ์ สามาเณรรับแล้ว ก็กรวดน้ำให้พรเป็นเสร็จพิธี
ก็เป็นการตานก๋วยสลาก
**แต่ต่อมาถึงบัดนี้ ประเพณีการตานก๋วยสลกาสมัยนี้
ไม่เหมือนสมัยโบราณ สมัยนี้เป็นการจัดงานตานก๋วยสลากเพื่อหารายได้ การจัดงานตานก๋วยสลากสมัยนี้
จัด 2 วัน ในวันแรกเป็นวันห้างดาก๋วยสลาก ก๋วยสลากสมัยนี้มี 3 อย่าง
-
สลากหน้อย(เล็ก)เรียกว่าสลากหน้อย
-
ก๋วยใหญ่เรียกว่าก๋วยสลากโจก
-
ก๋วยที่แต่งคล้ายปราสาท
เรียกว่ากัณฑ์สลากสร้อย
กัณฑ์สลากทั้ง 3 อย่าง
ต้องเอาใบตาลมาเขียนใบปล่อย เขียนคำอุทิศไปหาดวงวิญญาณคนนั้นคนนี้ 1 ก๋วยก็ 1ใบ 2 ก๋วยก็ 2 ใบ เรียกว่าใบสลาก ความกว้างของใบสลากประมาณกว้าง 2 นิ้ว ยาว 1 ศอก ทุกก๋วยต้องมีใบ
ส่วนกัณฑ์สลากสลากสร้อยนั้นต้องมีใบเขียนคำค่าวปรารถนาองเจ้าของกัณฑ์สลากนั้น
เนื้อความประมาณ 6หน้าหรือ 8 หน้าแผ่นกระดาษ
อ่านเป็นคำค่าวจ้อยเมืองเหนือ
วันห้างดาต้องมีการต้อนรับแขกเพื่อนฝูง ต่างบ้านที่ได้ไปเชิญเขาไว้ ข้าวปลาอาหารที่ต้อนรับเพื่อนฝูง
มิหนำซ้ำต้องฆ่า วัว ควาย หมู เป็ด ไก่
เป็นอาหารต้อนรับเพื่อนฝูงวันห้างดาก๋วยสลาก ถือเป็นการทำบุญ - ทำบาป ทำบุญ – ทำบาป
เมื่อถึงวันที่ 2 ของงานทุกหลังคาเรือนต้องเอาก๋วยสลากหน้อย
ก๋วยสลากใหญ่ กัณฑ์สลากสร้อย ไปรวมกัน
ที่วัด พร้อมทั้งใบปิ๋วคือใบตาลที่เขียน ไม่ว่าสลากหน้อย สลากใหญ่
สลากสร้อย ก๋วยสลากหน้อย ใหญ่ สร้อย ต้องตั้งไว้ที่ชั้นใครชั้นมันที่วัด
ใบปื๋วใบปล่อยต้องเอามอบให้กรรมการผู้รับผิดชอบหรือเอาวางไว้กับหมู่ที่วางไว้แท่นพระ
ถ้าพระสงฆ์มาครบ คณะศรัทธามาครบแล้ว ทำพิธีกราบพระ รับศีลแล้ว
ทำพิธีคนใบสลากเสร็จแล้ว นับใบสลากให้รู้ว่าใบสลากรวมทั้งหมดมีกี่ร้อยกี่พันใบ
เมื่อรู้จำนวนแล้ว ก็มานับดูพระภิกษุสามเณร ทั้งหมดมีเท่าไร พระภิกษุ
เท่าไร สามเณรเท่าไร เมื่อรู้จำนวนแล้ว ก็มาหารเลขให้ภิกษุรูปละ1 มัด 2 ส่วน สามเณรรูปละ 1 มัด 1
ส่วน
ยกถวายพระพุทธรูป 1 มัด 2 ส่วน
เมื่อพร้อมทุกอย่างแล้ว
ก็เอามัดใบสลากวางไว้เหนือพาน 1 มัด
ประเคนพระสงฆ์รูปที่เป็นประธาน พระรูปที่เป็นประธานกล่าวคำอุปโหลก จบคำแล้ว
พระสงฆ์ทุกรูปอนุโมทนา
แล้วก็กล่าวคำถวายสลากจบแล้ว พระสงฆ์สาธุอนุโมทนาอีก แล้วก็รับพร
รับพรเสร็จก็เสร็จพิธี
แล้วทำการแจกใบสลากให้พระภิกษุรูปละ 1 มัด
สามเณรรูปละ 1 มัด นำออกไปอ่านรับก๋วยสลาก
ถ้าหมดแล้วเป็นอันเสร็จพิธี ส่วนสลากสร้อยนั้น ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดได้
ต้องให้ผู้เป็นน้อย เป็นหนานอ่านค่าวเสียก่อนค่อยกรวดน้ำ
- ประเพณีเลี้ยงผีวัด
ผีบ้าน สมัยบ้านเมืองยังไม่เจริญรุ่งเรือง คนโบราณมักอยู่กันเป็นขกู๋น
(ตระกูลเดียวกัน)
ถ้าหากว่าผู้ที่เป็นคนมาตั้งบ้านอยู่เป็นคนแรกแล้วก็มาแพร่ขยายหมู่ญาติตระกูลให้กว้างขวางขึ้น
ถ้าหากคนนี้ล้มตายจากไปไม่ว่านานแค่ไหนหลายชั่วคนแล้วก็ตาม
ท่านเหล่านี้ได้ทำประโยชน์ไว้ให้ลูกหลานที่เกิดมาภายหลังมักจะได้รับบอกเล่าสืบต่อกันมานั้นเป็นตระกูลของพวกญาติเราคือพี่น้องกันและยังมีหอที่บ้านนั้นเป็น
ผี ปู่ ย่า
และถือว่าผู้ตายไปแล้วยังมีวิญญาณและที่ได้ไปเกิดเป็นเทวบุตรเทวดาไปแล้วก็มีที่เหลือหลงเป็นคนวิสัย
กลายเป็นสัมภเวสี คอยรับส่วนบุญอยู่ก็มี คนโบราณยังจดจำเรื่องนี้อยู่ในจิตใจว่า
ท่านเหล่านี้ยังมีบุญคุณแก่ตนมาก่อน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็จึงได้ทำที่สักการะบูชาพจึงพากันทำที่อยู่อาศัยให้ ปู่
ย่ามีเสื่อ หมอน น้ำต้น (คนโท) ขันหมาก กระโถน แจกันดอกไม้ ธูป เทียน ไว้บูชา
การสร้างตูบ ผีปู่ย่านั้นนิยมสร้างกันตามที่ต้นตระกูล เรียกว่า (เรือนแก้ว)
หรือเรียกว่าเก้าผี สร้างเป็นตูบใหญ่บ้างเล็กบ้าง
บางตระกูลทำใหญ่โตเพราะญาติมากเวลาเลี้ยงจะมากันหลาย
การทำเช่นนี้ก็เป็นจารีตประเพณีอันหนึ่งของคนโบราณ
การทำบุญทำทานหาญาติชาวพุทธเราก็ทำกันอยู่เสมอ แต่ถ้าถึงประเพณีเลี้ยง ผี ปู่ ย่า
มาถึงก็ทำกันอีกแต่ดูทุกวันนี้จะมีน้อยลงเพราะสภาพของโลกบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปสิ่งที่นับถือกันดึกดำบรรพ์ก็ละทิ้งไปเพราะไม่มีใครสนใจ
ก็หายไปบ้างมีอยู่บ้าง ส่วนมากอำเภอ ตำบล รอบนอกยังมีผี ปู่ ย่า กันอยู่ ความจริงคนโบราณท่านถือกันก็ไม่มีการเสียหาย
จะถือว่างมงายก็จริงอยู่ แต่ถ้าถือกันจริงจังอย่างถูกต้อง
ก็มีผลดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวสมัยโบราณ
พ่อแม่ต้องกำชับกำชาอย่าให้ผิดผีและเที่ยวไปไหนคนเดียวไม่ได้
หนุ่มสาวจะจับมือถือแขนกันไม่ได้ ถ้าจับต้องผิดผี ถ้ามีใครเห็นจะถูกปรับไหม
ให้เลี้ยงผี ถ้าเลี้ยงเหล้าเลี้ยงไก้ดี นี้เลี้ยงหมูเป็นตัวผู้ชายใดทำเช่นนี้ก็จะถูกนินทาเอาว่าเป็นคนไม่ดีผู้หญิงก็เสียหายเป็นคนไม่มีค่ารู้ไปถึงไหนคนเขาก็ว่าเป็นผู้หญิงใจทรามเป็นที่อับอายขายหน้า
ฉะนั้น คนโบราณเขาจึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มากจะไม่แตะต้องกันเลย
เวลาผู้ประพฤติไม่ชอบผีมักจะซ้ำเติมกับผู้ที่เจ็บป่วยในเครือญาติ การเลี้ยงผี ปู่
ย่า แล้วแต่จะตกลงกันว่าปีนี้จะเลี้ยงไก่หรือหมู ถ้าเลี้ยงไก่ก็นำมาคนละตัว
ถ้าเลี้ยงหมู ก็เก็บเงินกันนำมาสังเวย
พอได้กำหนดก็จะเอามาเลี้ยงกันเป็นการรวมญาติเป็นปี ๆ
ให้ลูกหลานได้รู้จักกันสืบต่อไป
- ประเพณีการสืบชาตา
ทำได้ทุกเดือน
1. การสืบชะตาบ้านจะทำได้ก็ปีละครั้งหรือว่า
ถ้ามีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นก็ทำได้
2. การสืบชะตาเมืองจะทำก็ต่อเมื่อได้ครบรอบสร้างเมืองหรือในเมื่อที่กำหนดให้วันมงคลของบ้านเมือง
3. สืบชะตาคนทำได้ตลอดทุกโอกาส
- ประเพณีการเวนทาน
ประเพณีนี้ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ
เป็นประเพณีที่ผู้รู้ทั่วไปให้ความยกย่องว่าดียิ่ง
ประเพณีแบบนี้ไม่มีในภาคอื่นของประเทศไทย นับว่าเป็นความดีพิเศษของนักปราชญ์โบราณล้านนาไทย
ที่ได้คิดว่างระเบียบแบบแผนเวนทานไว้
ส่งให้ทราบถึงความละเอียดอ่อนแห่งดวงใจที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
จึงเป็นหน้าที่แห่งเราต้องรักษาส่งเสริมให้มั่นคงยืนยาว สืบลูกหลานต่อไปในอนาคต
การจะส่งเสริมรักษาประเพณีการเวนทานนี้ เราต้องเข้าใจความหมายและประโยชน์ของการเวนทานพอสมควร
เมื่อเราเห็นความสำคัญของการเวนทานแล้ว เราจึงจะเกิดความรักความหวงแหนและรักษาไว้
ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะกล่าวถึงการเวนทานเรื่องอื่น ๆ
จะพูดถึงประโยชน์ของการเวนทานก่อน ประโยชน์ของการเวนทาน คือ
1. เป็นโอกาสให้ อาจารย์ชาวบ้านได้อบรมสั่งสอนศรัทธาแทนพระ
2. เป็นการประโลมโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้เกิดศรัทธาปสาทะมีปิติอิ่มเอมในกุศลทานที่ได้ประกอบและเป็นการตัดกังวลมลทินออกจากใจเจ้าภาพ
3. เป็นการฝึกหัดให้คนฟังเกิดความอดทน
คือทนอดที่จะฟังเวนทานให้จบ เป็นการให้เกิดสมาธิ
4. ทำให้ผู้มาร่วมอนุโมทนาทราบชัดถึงการถวายทานและวัตถุประสงค์
เกิดอารมณ์ร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเจ้าภาพ
5. ผู้ฟังย่อมได้ทราบสาระคำสอนที่แฝงอยู่ในวันทานนั้น
ๆ นำไปเป็นข้อเตือนใจได้
บุคคลผู้สมควรจะเป็นอาจารย์เวนทาน ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. ควรเป็นหนาน คือผู้ที่เคยอุปสมบทมาแล้ว
เพราะผู้ที่เคยอุปสมบทมาแล้วย่อมจะทราบระเบียบวินัยและจิตใจของพระสงฆ์
ย่อมปฏิบัติสอดคล้องต้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระสงฆ์
ผู้ที่ยังไม่เคยบวชเป็นพระมาก่อนถ้าประสงค์จะเป็นอาจารย์เวนทาน
คนโบราณย่อมให้เขาบวชเป็นพระเสียก่อน อย่างน้อยก็ 1 พรรษาในบางโอกาสเมื่อมีงานใหญ่
ไม่อาจจะหาอาจารย์เวนทานให้เหมาะสมแก่งานได้
เขาก็จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ผู้ฉลาดสามารถในการเวนทาน ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ก็มี
2. เป็นการเหมาะสมโดยแท้ที่อาจารย์ผู้ทำหน้าที่เวนทาน ควรเป็นผู้มีศีล 5
อยู่กับตัวเป็นนิจ แม้ที่สุดไม่อาจจะรักษาศีลให้ครบทั้ง 5 ข้อได้ การรักษาศีลข้อที่ 5 ให้ได้ คือ
ไม่เป็นคนดื่มสุราเมรัย เพราะผู้นำทานควรเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ตาม
อีกประการหนึ่งก็เป็นบุญเป็นอานิสงฆ์แก่ผู้เป็นอาจารย์ด้วย
3. เป็นผู้มีระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ทั้งในแบบโบราณลานนาไทยและแบบสมัยปัจจุบันพอเป็นหลักเป็นแนวในการประกอบพิธีกรรมต่าง
ๆ
ให้รู้จักสังเกตเมื่อไปในงานพิธีทั้งหลายถ้าเกิดสงสัยให้ถามท่านผู้รู้เพื่อจะนำมาประยุกต์ในการนำทำพิธีภายในหมู่บ้านของเรา
อนึ่งอาจารย์ย่อมเป็นที่ปรึกษาของชาวบ้านในเรื่องต่าง
ๆแม้กระทั่งการหามื้อหาวันเป็นต้น
4. อาจารย์พึงเป็นผู้มีมารยาทอ่อนน้อม เคารพยำเกรงในพระภิกษุสามเณร
รู้จักวางตัวให้ถูกฐานะ รู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร
ไม่พึงตั้งตัวเป็นผู้มีอำนาจเข้าควบคุมกิจการภายในของวัด
5. เป็นผู้อยู่ท่ามกลางระหว่างพระกับศรัทธาชาวบ้าน
เรื่องใดที่พระพูดกับศรัทธาโดยตรงไม่ได้ ย่อมเป็นหน้าที่ของอาจารย์จะพูดแทนเรื่องใดที่ศรัทธาชาวบ้านเกิดแคลงใจไม่อาจจะพูดจะถามโดยตรงกับพระได้
ก็เป็นหน้าที่ของอาจารย์จะพูดแทนศรัทธา ทั้งนี้ให้ยึดความสามัคคีเป็นหลัก
6. เป็นผู้รู้จักกาลเทศะในการเวนทานคือรู้จักเวลาและสถานที่ ว่าเวลานี้
สถานที่นี้ควรจะเวนสั้นหรือแววยาว ควรใช้สติปัญญาพิจารณาดู
หรือควรถามความต้องการของพระสงฆ์ที่เป็นประธานในพิธี
7. เป็นผู้ไม่มีมานะกระด้างถือตัวไม่รู้จักยอมคน
เพราะอาจารย์เป็นตัวแทนของธรรมะพึงเป็นผู้บันเทา โลภะ โทสะ โมหะ ให้ลดน้อยถอยลง
ถือเหตุถือผลความถูกต้องเป็นหลัก ถ้ามีงานเกิดขึ้นในหมู่บ้านเช่น งานศพ
แม้เจ้าภาพเขาไม่บอกกล่าวด้วยเหตุใดก็ตาม
อาจารย์ก็ควรไปตามหน้าที่โดยเป็นศรัทธาก็ได้
8. เป็นผู้แสวงหาความรู้เสมอ ชอบฟังชอบถามในเรื่องที่เป็นประโยชน์
เพื่อนำมาปฏิบัติปรับปรุงตัวเองให้เจริญขึ้น ตามที่กล่าวมาทั้ง 8 ข้อนี้ ความจริงอาจจะยังไม่หมด
เท่าที่คิดได้พอเป็นหลักดูดเหมือนจะมีเท่านี้
หากอาจารย์ใดมีคุณสมบัติดังกล่าวมาสัก 2-3 ข้อ
ก็นับว่าเป็นอาจารย์ที่ดียิ่งแล้ว แต่ถ้าได้ครบหมดยิ่งเป็นการดี
ระเบียบปฏิบัติก่อนจะทำบุญถวายทาน
เบื้องแรกของการเป็นอาจารย์
อาจารย์ฟังรู้จักระเบียบศาสนาพิธีดี พอที่จะนำไปปฏิบัติได้
และต้องรู้ระเบียบพิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าเดา ๆทำด้วยคิดว่า
ท่าจะดีในที่นี้จะกล่าวถึงศาสนพิธีที่เราปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป
เรียกว่าเป็นหลักใหญ่ของพิธีทางศาสนาทั้งหลายพอสังเขป เมื่อมีงานทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นงานศพหรืองานมงคลก็ตาม
อาจารย์วัดย่อมมีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าภาพ ในด้านพิธีการทั้งหลาย
เพราะส่วนมากชาวบ้านไม่ค่อยรู้ หรือถ้ารู้ก็รู้ผิด
ๆเพราะว่าไม่ใช่หน้าที่เขาโดยตรง อาจารย์ต้องไปแนะนำหรือดำเนินการแทนเจ้าภาพ
เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างถูกต้อง เป็นหน้าที่ของอาจารย์จะต้องเอาใจใส่ คือ
• การจัดสถานที่
ถ้าจัดงานที่บ้าน
ให้จัดห้องโถงที่กว้างขวางของเรือนเป็นที่ทำพิธี
เมื่อจะใช้ม่านกั้นด้านหลังพระพุทธรูป ไม่ควรให้ปิดหน้าต่างในเมื่อเป็นฤดูร้อน
เพราะทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี
ผู้เข้าอยู่ในพิธีหรือพระที่มาทำพิธีจะหงุดหงิดเพราะความร้อน ถ้าห้องโถงไม่มี
หรือมีแต่แคบไม่พอทำพิธีได้
ควรจัดทำพิธีข้างล่างทางด้านหน้าเรือนโดยทำปรำผามเพียงหรือกางเต็นท์ให้สูง
ใช้แท่นสังฆ์หรือเตียงเป็นอาสน์สงฆ์ ควรนิมนต์พระให้พอดีกับสถานที่
• การตั้งโต๊ะหมู่บูชา
ถ้าห้องโถงกว้างขวาง
ให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ด้านขวามือของพระสงฆ์
ถ้าห้องโถงไม่กว้างยาวพอจะจัดแบบที่กล่าวได้
ให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ตรงกลางชิดฝาผนัง เหมือนพระพุทธรูปที่ตั้งไว้ในวิหาร
ให้พระสงฆ์นั่งออกมาทั้ง 2 ด้าน
ส่วนการจัดโต๊ะหมู่บูชานั้น ก็พึงทำให้ละเอียดประณีต
ตามธรรมดาโต๊ะหมู่บูชานั้นมีหมู่ 5 หมู่ 7 หมู่ 9 ส่วนมากที่เรานำมาตั้งที่บ้านนั้นจะเป็นหมู่ 5
หรือบางที่ก็เพียง 3 ตัวก็มี
จะเป็นโต๊ะหมู่ชนิดใดก็ตาม เราย่อมตั้งพระพุทธรูปไว้โต๊ะที่สูงที่สุดตรงกลางโต๊ะ 2
ข้างพระพุทธรูปซึ่งต่ำลงมาให้วางแจกันดอกไม้
ดอกไม้ที่จะปักแจกันควรเป็นดอกไม้สด เพื่อจะนำจิตใจให้แช่มชื่น ไม่ควรใช้ดอกไม้แห้ง
และควรระวังอย่าให้ดอกไม้คลุมพระพุทธรูป โต๊ะที่ต่ำลงมาด้านหน้าพระพุทธรูป
ให้วางกระถางธูปและเชิงเทียนตามลำดับ
ควรขัดชำระให้สะอาดอย่าปล่อยให้สกปรกเทียนควรใช้เทียนสีผึ้ง 2 เล่ม ธูป 3 ดอกไม่ควรเอาอะไรนอกจากที่กล่าวมา
วางบนโต๊ะหมู่บูชาหรือวางภายใต้โต๊ะหมู่บูชาเป็นอันขาด
เพราะเป็นการไม่เหมาะขาดคารวะ
ผู้รู้ท่านถือว่าโต๊ะหมู่บูชาเป็นหัวใจของงานไม่ใช้ของเล่น ๆ
เราเห็นโต๊ะหมู่บูชาก็ย่อมรู้ว่า เจ้าภาพมีความลึกซึ้งในพระรัตนตรัยแค่ไหน
พระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เราควรทำอย่างประณีตเต็มด้วยความคารวะที่สุด
• การล้วงด้ายสายสิญจน์
ควรล้วงจากฐานพระพุทธรูปเวียนออกไปทางขวาตามคตินิยม
ไม่ควรเอาด้ายสายสิญจน์คล้องคอพระพุทธรูปหรือผูกที่ใดก็ตาม
ที่เรามองดูแล้วเป็นการขาดความเคารพ
เมื่อเอาด้ายสายสิญจน์ล้วงที่ฐานะพระพุทธรูปดแล้ว
ให้ล้วงเวียนขวาอ้อมเรือนหรือมณฑลพิธี
จนวกกลับมาบรรจบกับเงื่อนเดิมที่ฐานพระพุทธรูป
อีกเงื่อนหนึ่งที่เหลือม้วนเป็นกลุ่มให้เหลือยาวพอที่พระสงฆ์จะถือได้ครบทุกองค์
แล้วเอาล้วงรอบบาตรน้ำมนต์ 3 รอบ
วางกลุ่มด้ายสายสิญจน์นั้นไว้บนพานอีกใบหนึ่ง ไม่ใช่ขันศีล
ส่วนบาตรน้ำมนต์นั้นให้ปักเทียนน้ำมนต์ไว้ และหญ้าคนหนึ่งกำมือมัดให้เรียบร้อย
เพื่อให้พระสงฆ์ใช้ชัดประพรมน้ำมนต์
• การจัดอาสนะสงฆ์
เราจัดวางโต๊ะหมู่บูชาไว้แล้ว
จากนั้นก็ปูลาดอาสน์สงฆ์
ถ้าปูเสื่อและคนทั่วไปก็นั่งเสื่อให้ปูพรมหรือผ้าก็ได้ทับบนเสื่ออีกชั้นหนึ่ง
ถ้าปูพรมและคนทั่วไปก็นั่งบนพรมนั้นให้มีผ้าอื่นปูทับอีกชั้นหนึ่ง
ไม่ควรให้พระสงฆ์นั่งบนเสื่อหรือพรมร่วมกับทายกทาริกา
จัดระยะที่นั่งให้ห่างกันพอที่จะขยับเขยื้อนได้สะดวก ไม่ควรจัดที่นั่งชิดกันเกินไป
เป็นการทรมานพระสงฆ์ซึ่งต้องนั่งทำพิธีอยู่นาน และให้มีหมอพิงหลังองค์ละใบ ส่วนคนโท
( น้ำต้น ) กระโถนนั้น ไม่ควรเอาวางจนครอบพระทุกองค์
เพราะรู้สึกเกะกะทำให้ที่คับแคบควรจะตั้งคนโท 1 ใบต่อพระ 2 รูป กระโถนก็เหมือนกัน
ส่วนหมากพลูเหมี้ยงบุหรี่ควรถวายให้ครบทุกรูป
ก่อนทำพิธีเวนทาน
• สมาหรือสูมาครัวทาน • อัญเชิญเทวดา
• ยอคุณพระรัตนตรัย • เนื้อเรื่องดเวนทาน
• กล่าวคำถวายทาน • แผ่บุญ
• สมาพระรัตนตรัย
ในการสม
ครัวทานนั้น
ให้มีพานดอกไม้และมีขันใส่น้ำส้มป่อยวางบนพานนั้นขณะที่อาจารย์กล่าวคำสมาครัวทานนั้น
ให้ใครคนใดคนหนึ่งยกพานนั้นขึ้นเสมอหน้าผาก เมื่ออาจารย์ว่าคำสมาครัวทานจบแล้ว
ให้เอาน้ำส้มป่อยนั้นประพรมไปตามไทยธรรมทั้งหมดเพื่อให้ของทานบริสุทธิ์ปราศจากมลทินโทษ
สมกับคำที่ท่านกล่าวว่า ทายบริสุทธิ์คือมีศีลของทานบริสุทธิ์ปราศจากมนทินทั้งปวง
และ ปฏิคาหกบริสุทธิ์ด้วยศีล ความบริสุทธิ์ทั้ง 3 ประการพร้อมแล้วทานนั้นย่อมเกิดผลเกิดอานิสงส์มาก
แหล่งการเรียนรู้หอเจ้าหลวง
ด้าน ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ วัฒนธรรม พื้นบ้าน
ข้อมูลพื้นฐาน
หอเจ้าหลวง หมู่
5 ตำบลป่าแลวหลวง อำเภอสันติสุข
จังหวัดน่าน 55210
สถานที่ตั้ง
บ้านสบยาง หมู่
5 ตำบลป่าแลวหลวง อำเภอสันติสุข
จังหวัดน่าน 55210
วัน เวลา ที่ให้บริการ
เปิดทำพิธี
ในวันพญาวัน (15 เมษายน)
ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม / รับบริการ
ค่าใช้จ่ายตามจิตศรัทธาร่วมบริจาคสมทบเป็นกองทุนเพื่อปรับปรุงหอเจ้าหลวง
ผู้รับผิดชอบ นายตา เสนนันตา ตัวแทนร่างทรง(ข้าวจ้ำ)
ประวัติความเป็นมา
หอเจ้าหลวง ที่ให้ความคุ้มคลอง
ดูแลรักษาหมู่บ้าน จำนวน 4 หมู่บ้าน ประกอบด้วย
บ้านสบยาง หมู่ที่ 5 บ้านดอนชัย หมู่ 6, บ้านน่านมั่นคง หมู่ 7 และบ้านพนาไพร หมู่ 10 มีเจ้าหลวงคอยดูแลคุ้มคลองภัยอันตรายต่าง
ๆ อยู่ จำนวน 5 พระองค์ คือ 1. เจ้าหลวงภูคา, 2. เจ้าหลวงอาชญา, 3.เจ้าภาพใจดำ,
4.เจ้านางเกี๋ยงคำ และ 5. เจ้าหลวงพญาอู
- ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ปู่ ย่า ตายาย ผู้เฒ่า ผู้แก่ ท่านเล่าให้ฟังว่า
เจ้าหลวง ทั้ง 5 พระองค์นี้ เคยนับถือกันว่าเป็นผีเจ้าบ้าน
เจ้าเมือง เคยมาเข้าสิงห์บุคคลในหมู่บ้าน แล้วพูดออกมาว่า เรานี้เป็นเจ้า
พ่อมาจากถิ่นนั้น ถิ่นนี้ และเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์เก่งกล้าสามารถทุก ๆ ด้าน
พอชาวบ้านรับทราบจึงพากันกราบไหว้ เข้าใกล้ชิด คอยพูดจา ชักถาม เรื่องราวต่าง ๆ
บ้างก็ถวายตัวเป็นผู้รับใช้ โดยนำเอาขันข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน
ไปบนบานสารกล่าว
แล้วชักถามทั้งหญิงและชาย เขาเรียกว่า “เข้าจ้ำ” หรือผู้รับใช้ โดยมีชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้านเป็นบริวาร คำถามที่จะถามเจ้าหลวงทั้งหลาย
มักจะถามว่าท่านมามีกิจประสงค์อันใด ก็ขอเชิญท่านไขหน้า
อ้าปากบอกกับพวกเราด้วย
แล้วเจ้าหลวงทั้งหลายจะบอกว่า ที่เรามานี้เพราะความเดือนร้อน
แก่สูเจ้าทั้งหลายนั้นแหละ ที่เรามานี้เรามาด้วยกัน 5 พระองค์ ต่างองค์
ต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบ องค์ละอย่าง เป็นประธานคอยควบคุมดูแลทั่วเมืองเหนือ มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของประธานให้มาดูแลสิ่งเลวร้าย
อันตรายทั้งปวง ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง และผู้คนตลอดถึงสัตว์เลี้ยง เจ้าองค์อื่น
จะมาก้าวก่ายไม่ได้
มีหน้าที่ขับไล่สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย
ที่จะมาก่อความไม่สงบสุขกับบ้านเมืองตลอดถึงผู้คนและสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย
นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ให้ความอนุเคราะห์บรรเทาความเดือนร้อนต่าง ๆ เช่น
ปีใดฝนฟ้าไม่ตก ตามฤดูกาล
เกิดความแห้งแล้ง ชาวบ้านจะพากันเอาขันข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน มาบนบานสารกล่าว
เพื่อขอน้ำฟ้าน้ำฝนจากเจ้าพ่อพญาอู ท่านก็จะบรรดารให้ฟ้าฝนตกลงมา นอกจากนั้นยังมีการบนบานสารกล่าวต่าง ๆ
ตามแต่ผู้คนจะนับถือ อาทิเช่น การเดินทางไปยังถิ่นแดนไกล หรือไปหางานทำ
ไปเป็นทหารสู้ศึกศัตรูหมู่ร้าย ไปสอบเข้าทำงาน สอบเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
ก็มักจะมีผู้คนเหล่านี้มาบนบานสารกล่าวขอให้เจ้าหลวงให้ความคุ้มคลองและช่วยเหลือให้พบปะกับความสำเร็จในสิ่งดังหวัง
และให้อยู่รอดปลอดภัย มีความร่มเย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า เป็นอาจิณ ปัจจุบันนี้มีผู้คนนับถือกันมากทุก ๆ
ปี จะมีการเลี้ยงเจ้าหลวง ก่อนวันปีใหม่เมือง (ปีใหม่สงกรานต์)
เรียกว่าเลี้ยงป๋าง
เสร็จแล้วจะมีพิธีการเจ้าหลวงเข้าสิงห์ร่างผู้ประทับร่างทรง ในวันพญาวัน (15
เมษายน)
องค์ความรู้/สิ่งที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้
เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ประเพณี ความเชื่อ
1.การนับถือเจ้าที่ เจ้าหลวง
หรือการเข้าประทับร่างทรงตลอดจนการบนบานสารกล่าว
2.ศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในชุมชน
ศาลเจ้าหลวง (หอเจ้าหลวง) ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 บ้านสบยาง ตำบลป่าแลวหลวง
อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
พิธีบวงสรวงหรือเลี้ยงปางประจำปี ประกอบด้วย พาน 4 ใบ ในแต่ละใบจะมีสิ่งของต่าง ๆ เช่น หมาก
1 หัว พู 1 มัด เทียน 12 คู่
ดอกไม้ขาว ผ้าขาว ผ้าแดง น้ำดื่ม น้ำส้มป่อย จำนวน 4 ชุด ไก่ต้มสุก 4 ตัว
หัวหมู
1 หัว แข่งหมู 4 แข่ง หางหมู 1
หาง เครื่องในหมู ที่ต้มสุกแล้ว จำนวน 1 ชุด
สุราขาว 4 ขวด
พิธีอัญเชิญเจ้าหลวงลงมาประทับร่างทรง อุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบด้วย พาน 4 ใบ
ในแต่ละใบจะมีสิ่งของ
ต่าง
ๆ เช่น หมาก 1 หัว พู 1 มัด เทียน 12 คู่ ดอกไม้ขาว ผ้าขาว ผ้าแดง น้ำดื่ม น้ำส้มป่อย สุราขาว
นอกจากนั้นจะมีคนเฒ่าคนแก่ เข้าจ้ำ (คนรับใช้) ช่างซอ ช่างปิน (ช่างซึง) ช่างสะล้อ ช่าง ขลุ่ย มีการฟ้อนรำ ท่าทางต่าง ๆ อบรมสมโภช ร่ำไร
เพื่อขอเชิญท่านลงมาประทับร่างทรงทีละองค์ ๆ ขณะเดียวกันก็จะมีการจุดธูปเทียน
บูชาไปพร้อม ๆ กัน
ผู้ทำหน้าที่เป็นเข้าจ้ำก็จะพล่ำวอนเจ้าหลวงทั้งหลายให้ลงมาประทับร่างทรง
เพื่อขอพรบ้าง ขอฟ้าฝนบ้าง ขอให้คุ้มครองอันตรายต่าง ๆ บ้าง สอบถามถึงปัญหาต่าง ๆ
ที่จะเกิดขึ้นในปีใหม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ควรจะปฏิบัติอย่างไรให้พ้นภัยต่าง
ๆ แล้วท่านก็จะบอก ถึงแนวทางการป้องกันและแก้ไข
พวกชาวบ้านจึงได้นำไปปฏิบัติให้เกิดความผาสุขใน 4
หมู่บ้านต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น